Kizumonogatari Novel ตอน 3 แปลไทย

 003 เอาล่ะ... หลังจากที่ผมปล่อยให้ภาพนั้นติดอยู่ในหัวผมมาเกือบทั้งวันแล้ว ...ในช่วงหัวค่ำ ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปรอบๆเมืองเล็กๆแห่งนี้ในช่วงที่ใกล้จะเป็นเวลาดึกสงัด... เพราะหลังช่วงบ่ายเป็นต้นไปผมจะไม่ขี่จักรยาน ...ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะเดินเรื่อยเปื่อยแบบนี้แต่ผมมีสาเหตุแน่นอนที่จะไม่ขี่จักรยาน ที่บ้านของผมมีจักรยาน 2 คัน ...คันแรกคือจักรยานแม่บ้านที่ผมใช้ขี่ไปโรงเรียนส่วนอีกครันคือจักรยานเมาเท่นไบค์ที่ผมชอบมาก โดยปกติผมจะเอาเมาเท่นไบค์มาขี่ได้ตามอารมณ์ เพียงแต่ตอนนี้...ไม่สิ"คืนนี้"ผมยังไม่อยากจะขี่มันนัก ก็นะ...ถ้าจู่ๆมีใครตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพบว่า จักรยานที่มีแม่กุญแจคล้องใว้หลายๆอันเกิดหายไปอย่างไร้ร่องรอยมันก็เท่ากับ ป่าวประกาศให้รู้ว่าผมแอบหนีออกไปตอนกลางคืนน่ะสิ... เอาล่ะ...ขอหยุดการพรรณาถึงอดีตใว้แค่นี้... ตอนนี้เราจะเข้ามาสู่สภาวการณ์ในปัจจุบัน... ผมแตกต่างจากน้องสาวทั้งสองคนของผม... ผมไม่ถูกจำกัดไม่ให้ออกนอกบ้านตอนกลางคืนดังนั้นผมจะไปใหนมาใหนมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับผมมากนัก (แต่ก็นะ...น้องสาวทั้งคู่ของผมก็ไม่เคยจะทำตามกฏที่ว่านี่ซักที) แต่เวลานี้ผมไม่อยากจะให้ครอบครัวผมรู้ว่าผมออกมาข้างนอกมากนัก... ทำไมน่ะรึ...เหตุผลง่ายๆ... ผมกำลังจะไปซื้อหนังสือโป๊น่ะสิ... "................................." เอ่อ...เดี๋ยวนะ... อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น เรื่องทั้งหมดมันอธิบายได้ เพราะว่าผมไม่สามารถลืมภาพกางเกงในของฮาเนคาว่าในวันนี้ได้น่ะสิ!!! ....ชิบ....แล้วผมจะขุดหลุมฝังตัวเองทำไมล่ะเนี่ย แต่มันก็เป็นความจริง... ผมพูดได้อย่างเต็มปากไปเลยว่าผมคงไม่สามารถลืมมันไปได้ตราบจนวันตายเลยทีเดียว... บอกตามตรง...ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมองของผมมันจะจำอะไรได้กระจ่างชัดขนาดนี้... นับจากวินาทีที่ฮาเนคาว่าเดินหายลับไป ภาพกางเกงในของเธอก็ทิ่มปั๊กเข้ามาในกบาลของผมแบบจังๆชนิดที่ล้างไม่ออก ตอนแรกผมคิดว่าผมน่าจะค่อยๆลืมมันไปได้อย่างช้าๆ... แต่ดูเหมือนผมจะคิดง่ายไป 10 ชั่วโมงผ่านไปแล้วผมยังคงจำได้อย่างเด่นชัด.... ถ้าตอนนั้นมีใครซักคนมาสับตัวกับผม หมอนั่นจะรู้สึกยังใงที่เห็นกางเกงในของฮาเนคาว่านะ บัดซบเอ๊ย แม้ว่าพวกเราจะคุยกันหลายเรื่องหลังจากนั้นแต่สิ่งที่สมองซีกซ้ายของผมจำได้แม่นยำที่สุดคือกางเกงใน!!! และแม้กระทั่งตอนนี้ที่ผมเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่....อย่างเดียวที่ผมยังคงจำได้อยู่ก็คือกางเกงในของยัยนั่น!!! ...ยัยนั่นน่ะเป็นคนนิสัยดี... ฮาเนคาว่าน่ะเป็นคนที่เพียบพร้อมมาก... เพราะแบบนั้นไอ้ความรู้สึกผิดที่ไม่ต้องการนี่มันก็เลยทิ่มปรี๊ดขึ้นกลางอก.... หัวใจผมมันเรียกร้องให้รับผิดชอบ... ฮาเนคาว่า...เธอน่ะเป็นคนดี...แล้วกับฮาเนคาว่าที่แสนดีคนนั้น...ผมดันเกิดความรู้สึกที่แสนลามกนี่กับเธอ แล้วจะให้แก้ปัญหานี้ยังใงเล่า? ถ้าเห็นกางเกงในของใครซักคนมันก็ต้องเอาของที่เหมือนๆกันเข้าไปสู้ด้วยใช่มั๊ย?...เอา ล่ะทีนี้เมื่อกางเกงในที่คุณเห็นเป็นของสาวน้อยน่ารักระดับสูงของโรงเรียน เอกชนนาโอเอ็ตสึที่กำลังตามกระแสด้วยการใส่กระโปรงสั้นฉับพลันทันใดดันเกิด อุบัติเหตุไม่คาดคิดทำให้เห็นกางเกงในของเจ้าหล่อนทุกซอกทุกมุมล่ะ? ว่ากันตามตรง...ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนตอน ม.ต้น... ไม่สิ...มองย้อนไปตอนประถมเรื่องแบบนี้ก็ไม่เคยมีเหมือนกัน ...มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลย ผมจะพูดยังใงดีล่ะ ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของการ์ตูนตาหวานยุค 80 นิดๆแล้วล่ะ.... ใครจะไปคิดล่ะว่าคนอย่างฮาเนคาว่า สึบาสะจะเป็นคนปักธงลงบนตัวผมได้... :-)เอ๊ย(คำต้นฉบับมัน...จนใจแปลให้สุภาพครับ) นี่มันอาชญากรรมชัดๆ ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าสาวๆทั้งหลายที่เคยเผลอเปิดหวอให้ผู้ชายดูน่ะไม่ได้คิดมากรึจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้หรอก แต่กับผมมันเป็นความรู้สึกที่สาหัสสากรรจ์มากๆเลย อ่า...ถ้าจะคิดให้ดีตั้งแต่ที่ผมโดนปักธงมาแล้วเนี่ย...คนอื่นคงมองว่ามันก็เป็นแค่ผลกระทบเล็กๆเองเท่านั้น จะเรียกว่าเป็นอีเวนท์การพบเจอยังไม่ได้เลย ยิ่งถ้าพูดถึงฝั่งฮาเนคาว่าเองป่านนี้เธอคงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไปเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ จะว่ากันตรงๆตอนนี้ก็คือผมไม่อยากจะรู้สึกผิด.....ไม่สิ....แค่ไม่อยากนึกถึงมันเท่านั้นเอง... อย่างที่รู้ๆกัน ผมมันก็แค่มนุษย์เดินดิน ตอนที่ผมกินข้าวอยู่ผมเองก็เผลอนึกถึงเรื่องนี้เหมือนกัน...แน่นอน มันเส็งเคร็งสุดๆ ในระยะเวลาสั้นๆของชีวิตผม ถ้าจะให้ผมแบกรับความผิดแบบนี้ผมเองก็ค่อนข้างกลัวเหมือนกัน หวาดกลัวที่จะแบกรับมันต่อหน้าคำว่า... "เพื่อน" นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ผมค่อนข้างเกลียดมัน... เกลียดในความไม่ชัดเจนของมนุษย์ ผมคงปล่อยวางไม่ได้ถ้ายังมัวแต่คิดถึงเรื่องนี้ แล้วก็เพราะแบบนี้แหละ หลังจากที่ทิวทัศน์ข้างนอกมืดลงผมถึงต้องแอบย่องออกจากบ้านมาแบบนี้ใง เป้าหมายของผมในตอนนี้มีเพียงการไปร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเล็กๆนี้เพื่อซื้อหนังสือโป๊เท่านั้น... และผลสำเร็จของมิชชั่นนี้ก็คือหนังสือรวมภาพกราเวียสองเล่มระหว่างกลับบ้าน แน่นอนว่าผมซื้อหนังสืออย่างอื่นปนมากับหนังสือโป๊ด้วยเช่นกันเพื่อตบตาคนขายที่สักแต่ว่าขายล่ะนะ แล้วก็...อย่ามาเลียนแบบวิธีนี้ของผมเพื่อซื้อหนังสือโป๊แค่สองเล่มล่ะ มันไม่คุ้มหรอก ถ้าฮาเนคาว่าเป็นหัวหน้าห้องเหนือหัวหน้าห้อง ผมก็คงเป็นชายเหนือชาย(มุกนี้ขำไม่ออกแฮะ) หลังจากตรวจสอบอย่าถี่ถ้วนว่าไม่มีคนรู้จักอยู่ในร้านอย่างแน่นอน ก็ได้เวลาทำตามแผนการ...ซื้อหนังสือโป๊ จากนั้นก็ค่อยไปจัดการโอเวอร์ไรท์(เขียนทับ)ลงไปในสมองของผม ผมค่อนข้างแน่ใจว่าฮาเนคาว่าไม่ได้คิดถึงวิธีนี้แน่ๆในตอนที่เธอรั้งตัวผมใว้ แต่ผมตัดสินใจที่จะใช้วิธีนี้เพื่อฮาเนคาว่าเอง เพราะวิธีอื่นดูท่าจะไร้ผลไปแล้ว (จะให้พูดลงลึกก็คงประมาณว่า ฮาเนคาว่าไม่ได้คิดเลยว่าจะใช้วิธีนี้กับผม เพราะผมตั้งใจทำด้วยตัวของผมเอง) ความหื่นย่อมต้องถูกเขียนทับด้วยความหื่น นี่ล่ะคือหนทางที่ดีที่สุด... ดังนั้นถ้าลืมมันไม่ได้ ก็หาอะไรที่หื่นกว่ามาทับมันซะก็สิ้นเรื่อง วิธีนี้คงพอจะทำให้ผมลืมๆไปบ้างล่ะน่า แน่นอนว่าการเห็นภาพแบบจะๆกับจ้องเอาจากรูปมันต่างกันอย่างใหญ่หลวง...แต่ผมก็จะกลบความต่างนั้นด้วยจำนวน และเพื่อจะกลบความต่างนั้น ผมลงทุนซื้อหนังสือโป๊สองเล่มที่เต็มไปด้วยกางเกงในของสาวๆม.ปลาย ...แล้วก็อาจจะเป็นเพราะผมเคยซื้อหนังสือหื่นไปตอน ต้นเดือนมีนาแล้วตอนนี้ผมเลยรู้สึกปวดใจกับค่าใช้จ่ายชอบกล...แต่มันก็ไม่ ได้มากมายขนาดจะทำให้ผมเครียดจนเป็นแผลในกระเพาะหรอก ทำไมน่ะรึ...เพราะมันชวนปวดหัวแทนนี่สิ แต่มันไม่มีทางเลือก ผมยอมให้ตัวเองมีความรู้สึกแบบนี้กับฮาเนคาว่าไม่ได้ ความรู้สึกผิดสามารถฆ่าคนได้ เหมือนกับที่ความเบื่อสามารถฆ่าคนได้...ผู้คนก็สามารถตายได้เพราะความรู้สึกผิดเช่นกัน อา...........อา... เงินพวกนี้จะซื้อของกินได้กี่อย่างกันนะ? "แต่ว่า......เพื่อน" ในระหว่างที่ผมถือถุงหนังสือโป๊อยู่ในมือข้าง หนึ่ง...ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยมือที่ว่างอยู่ก่อนจะเช็ครายชื่อใน สมุดโทรศัพท์แล้วพึมพัม "......มันไม่เหมือนตัวผมที่อยากเป็นซักนิด" ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มตระหนัก ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าผมจะพูดคำพูดนั้นออกไปได้ ตั้งแต่เมื่อใหร่กันนะที่ผมกลายเป็นคนแบบนี้ ตอนอยู่ม.ต้น ผมเองก็เหมือนคนปกติที่ยังต้องการการพูดคุยกับคนอื่น ยิ่งตอนอยู่ชั้นประถมยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ...ถ้าจะว่ากันจริงๆ คงหลังจากที่ผมกลายเป็นนักเรียน ม.ปลาย...สินะ ผมกลายเป็นคนแบบนี้หลังจากนั้นงั้นสิ? คำอธิบายที่ดีที่สุดตอนนี้คงประมาณว่า... หลังจากที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ผมเลือกที่จะสอบเข้าโรงเรียน ม.ปลายระดับสูง...แล้วเจือกสอบติดอีกต่างหาก แต่หลังจากที่คว้าโอกาสนั้นใว้ได้....ผู้คนรอบข้างกลับไม่มีใครเป็นอย่างผม มันเป็นความล้มเหลว ...ไม่สิ....มันไม่น่าใช่แบบนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงยังมีโอกาสอีกเยอะแยะที่จะเริ่มต้นใหม่... รึต่อให้คะแนนผมมันห่วยแตกเกินเยียวยาจริงๆก็ไม่น่าจะใช่สาเหตุที่ทำให้ผมหลุดกระแส... กลับกันเรื่องพวกนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ผมพูดคุยกับคนอื่นๆมากขึ้นด้วยซ้ำ ...ผมไม่ได้ถูกกีดกันจากผู้คน...กลับกันผมต่างหากที่ปฏิเสธผู้คน "อืม" บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันแฮะ ถึงจะบอกว่าไม่ต้องการเพื่อน....แต่มันก็เป็นแค่คำที่พูดเอาเองของคนที่ไม่มีเพื่อนซักคนเท่านั้น ราวกับเป็นการป้องกันตัวเอง เพื่อน ...สิ่งที่ไม่มีจะทำยังใงมันก็ไม่มีทางที่จะมีหรอก คนที่ไม่ต้องการเพื่อนกับคนที่ไม่มีเพื่อนมันก็ไม่ต่างกัน.... แต่จริงๆแล้วคนอย่างผมก็ไม่ได้มีคนเดียวหรอกยังมีคนอื่นๆอีก...เพียงแต่ว่าไม่มากเท่านั้นเอง คนอื่นๆอย่างพวกปีหนึ่งรึปีสองเองก็มีพวกไม่ค่อยชอบที่จะพูดกับคนอื่นๆเหมือนกัน ต่อให้พวกนั้นอยู่ในที่คนพลุกพล่านขนาดใหนก็เถอะ แต่ว่านะ "ถึงบอกว่าไม่อยากจะมีเพื่อนก็เถอะ แต่ผมก็อยากจะมีแฟนกับเขาซักคนเหมือนกัน.....แบบนี้คงไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนลามกหรอกนะ?" .....ลักลั่นย้อนแย้งดีแท้ ให้ตายสิน่า....ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากางเกงในแบบนั้นจะทำให้ผมต้องมาละลายทรัพย์แบบนี้ได้ ทั้งๆที่จะพูดไปมันก็แค่เศษผ้าชิ้นนึงแท้ๆ ยิ่งกว่านั้น.... ทำไมพวกผู้หญิงถึงใส่ไอ้ของลามกพรรค์นี้ด้วยตัวเองทั้งๆที่บอกว่าคนที่ดูมัน ลามกเล่า...ไม่ใช่ว่าพวกเธอเองหรอกเรอะที่ลามกน่ะ.... อยู่ดีๆไอ้ความคิดมุมกลับนี่ก็โผล่งเข้ามาในหัวผมซะงั้น... จะพูดไปแล้วถ้าคุณอยากได้มันซักตัวคุณก็ซื้อมันได้ทุกที่นี่นะ ....อ่า...ไม่สิ... ถ้าอยู่ดีๆเดินเข้าไปซื้อมันจะผิดกฏหมายรึเปล่าเนี่ย ...แต่ถึงไม่ผิดมันก็คงเฉียดๆละมัง จริงๆเล๊ย...ผมน่าจะเป็นพวกพืชผักไปซะก็ดี ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ไม่ก็เป็นพวกก้อนดินก้อนหินรึแท่งเหล็กก็ได้.... คนเราเองมันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว "หืม...ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย" ตอนแรกสุดนั้นผมสาวเท้ายาวๆจนเกือบจะเป็นการวิ่งเพื่อไปที่ร้านหนังสือก่อนที่มันจะปิด แต่ในตอนขากลับผมค่อนข้างใช้เวลานานพอดูในการเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อย... จนเวลาผ่านไป...จากวันเก่าตอนนี้เข้าสู่วันใหม่แล้ว ตอนนี้เป็นวันที่ 26 มีนาคม ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป...วันหยุดฤดูใบไม้ผลิได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าตัวเองก่อนเร่งฝีเท้าอีกนิดเพื่อกลับบ้าน... ร้านหนังสือนี่ไม่ถือว่าใกลเท่าไหร่ ถ้าจะเทียบระยะทางกันระยะห่างจากร้านหนังสือถึงบ้านกับระยะห่างจากบ้านไปโรงเรียนก็ไม่ห่างกันมาก จะใช้จักรยานรึจะเดินไปเรียนซะยังใงก็ถึงเหมือนๆกัน ต่างกันก็แค่เวลา.... แต่นั่นแหละที่มันสำคัญมากๆ บ้านผมน่ะไม่มีกฏว่าให้กลับบ้านตามเวลาก็จริง....แต่ผมไม่อยากจะกลับบ้านให้มันช้ามากเหมือนกัน เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกน้องสาวของผมอาจจะแอบดอดเข้าไปในห้องโดยที่ผมไม่อนุญาตก็ได้ ถ้าไม่เพราะพวกน้องๆของผมป่านนี้ผมคงเอาจักยานมาแล้ว แล้วก็คงไม่ต้องมาเดินคิดอะไรแบบนี้แน่ๆ... ว่าไปแล้วสำหรับยัยแสบสองคนนั้นแล้วจะมีเรื่องให้คิดแบบนี้รีเปล่าล่ะนั่น ...อ่าฮะ...จะว่าไปก็พึ่งจะคิดได้ ผมเองก็เคยเห็นกางเกงในของน้องสาวผมเหมือนกันนี่นา เพราะตอนที่พวกนั้นออกมาจากห้องอาบน้ำก็จะใส่แค่ชั้นในเท่านั้นเอง แต่...เรื่องนั้นมันนอกประเด็น ช่างมันละกัน ผมไม่รู้ว่าผมจะคิดอะไรไร้สาระแบบนี้ไปทำไม ในตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว มันคงจะดูงี่เง่ามากเลยถ้าหากว่าผมโดนรถชนตอนนี้ จริงๆแล้วผมไม่คิดว่าจะเจอพวกอุบัติเหตุหรอกนะ แต่ในระหว่างทางกลับบ้านที่ยังมีหนังสือโป๊อยู่ในครอบครองนี่ผมคิดว่าผมน่าจะระวังตัวใว้หน่อยดีกว่า เกิดจับผลัดจับผลูเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นของที่อยู่กับตัวผมต้องโดนตรวจสอบแน่ๆ... "รวมดาวสาว ม.ปลาย : สรวงสวรรค์กางเกงใน" ...เชื่อเหอะว่าถ้าเกิดว่าฮาเนคาว่ารู้เข้าเธอคงไม่คิดกับผมในทางที่ดีแน่ๆ ไม่นะ... นี่เป็นหนทางที่จะปกป้องภาพลักษณ์ของเธอในใจผม.....ผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ....อึก....แล้วก็เพราะเจ้านี่ผมในตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนอยู่กลางเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสวรรค์กับนรกเลย จริงอยู่ที่ว่าถ้ามันมืดมากๆมันก็อันตราย แต่ดีที่แถวนี้ออกจะบ้านนอกแล้วรถก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ ถ้าคอยสังเกตไฟหน้ารถดีๆมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ในตอนที่ผมนึกแบบนั้นขึ้นมาอยู่ๆผมก็เริ่มรู้สึกว่ารอบๆตัวมันมืดลง เร็วเท่าความคิดผมแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนแล้วก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แสงจากไฟถนนหายไปนี่เอง ไฟกิ่งตามถนนในรัศมีห้าเมตรรอบๆตัวผมไม่มีแสง.....อ่า....ยังดีที่ไม่ใช่ทุกต้น หนึ่งในนั้นมีอยู่ต้นนึงที่ยังสว่างอยู่ ว่าแต่พวกไฟกิ่งมันเสียรึใงนะ? แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกไฟถนนนี่จะเสียพร้อมกันในคราวเดียวแบบนี้.... ไฟดับรึใงกัน...แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมถึงยังมีไฟอีกต้นนึงที่ยังติดอยู่ล่ะ? ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้.... แต่ก็นะ ถึงผมจะคิดแบบนั้นก็เถอะมันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกมากนัก....ผมยังคงพาขาทั้งสองของผมก็ยังก้าวเดินต่อไป ถึงจะไม่ต้องรีบกลับบ้านก็จริงแต่ในตอนนี้ผมน่าจะรีบๆกลับบ้านไปฉีกถุงพลาสติกออกแล้วทำตามความตั้งใจแต่แรกมากกว่าไม่ใช่เรอะ ใช่แล้ว...ในตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรจะสำคัญไปมากกว่านี้อีกแล้ว "เจ้าน่ะ!" เพราะงั้น... "เฮ้....เจ้าน่ะ เจ้าคนผู้นั้น" เพราะงั้น...อย่าพึ่งมาเรียกผมตอนนี้สิ...ช่างเหอะ อย่าไปสนใจเธอเลย....หืม..."เจ้า"งั้นเรอะ? ไอ้วิธีพูดแนวโบราณนี่มันอะไรฟะ.... ผมไม่สามารถที่จะเมินเสียงนั้นได้อีก ผมมองไปทางต้นเสียง....ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเหมือนโดนบางอย่างดึงดูดไป....ราวกับเวลาถูกหยุด ภายใต้แสงไฟโดดเดี่ยว ท่ามกลางแสงไฟทั้งมวลบนเส้นทางที่ก้าวเดิน...... "เธอ" อยู่ที่นั่น "...เรา... เจ้าจะช่วยเราได้หรือไม่?" เรือนผมสีทองที่ไม่เข้ากับบ้านนอกแบบนี้ บนวงหน้าของเธอ.....ปรากฏสายตาเย็นชา ชุดที่เธอสวมใส่....ที่มีภาพลักษณ์สูงส่งเกินกว่าที่จะอยู่ในที่แบบนี้ ไม่สิ...เพราะชุดมันอยู่บนร่างกายของเธอต่างหากมันจึงดูสง่า.... ชุดนั้น....มันงดงามเกินจะพูดออกมาได้...แต่ละชิ้นที่ถักทอขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อผ้าชั้นสูง... แต่ตอนนี้..... พวกมันดูไม่เหลือความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว... ขาดวิ่นราวถูกฉีกกระชาก หมองหม่นและเปียกรื้น ราวกับเป็นเพียงเศษผ้าสกปรกเท่านั้น บางทีผ้าขี้ริ้วเศษๆอาจจะดูดีกว่าด้วยซ้ำ....มันดูแย่จนผมต้องเบือนหน้าหนี "ได้ยินรึไม่...ช่วยเราที" 『เธอ』จับจ้องมาที่ผม... สายตาที่เฉียบคมและเย็นชานั้นราวกับจะทะลวงเข้ามาในร่างของผม....แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมกลับไม่รู้สึกกลัว ทำไม『เธอ』 ถึงอยู่ที่นี่ด้วยสภาพเหนื่อยล้าขนาดนี้ พิงหลังเข้ากับไฟถนน... นั่งลงบนพื้นผิวยางมะตอย ไม่สิ......จะเรียกว่านั่งลงกับพื้นคงไม่ได้ มันราวกับว่าเธอติดอยู่บนพื้น 『เธอ』 ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยนอกจากจ้องมองมาที่ผม ....เปล่าเลย... ต่อให้เหนื่อยแค่ใหนแค่การพยุงตัวเข้ากับเสาไฟบนถนนก็ไม่น่าจะยากนัก... แต่『เธอ』ไม่สามารถทำแบบนั้นได้...นอกจากการมองมาที่ผม『เธอ』คงทำอะไรไม่ได้อีก เพราะมือที่จะเกาะเกี่ยวนั้น.....ไม่มี แขนขวาจนถึงข้อศอก แขนซ้ายจนถึงหัวใหล่ มันถูกตัดออกไป... "...............อุ!!!!!" ไม่เพียงเท่านั้น ท่อนล่างของเธอก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ขาขวาจากปลายเท้าถึงหัวเข่า ขาซ้ายจากปลายเท้าถึงโคนขา ทั้งคู่ถูกตัดสะบั้น ...เดี๋ยวสิ...มีแค่เท้าขวาเท่านั้นที่รอยตัดชัดเจน......พื้นผิวที่โดนตัดเรียบจนน่าใจหาย... ส่วนแขนขวาแขนซ้ายและขาซ้ายราวกับถูกสับนับครั้งไม่ถ้วน หรืออีกในความหมายหนึ่ง『เธอ』ในตอนนี้ได้สูญเสียระยางค์ทั้งสี่ไปแล้ว เพราะอยู่ในสภาพแบบนี้....เพราะเป็นแบบนี้เธอจึงไปที่ใหนไม่ได้นอกจากอยู่ใต้แสงไฟ... แบบนี้มันห่างใกลจากคำว่าเหนื่อยเกินไปแล้ว... มันเรียกได้ว่าใกล้จะตายแล้วซะด้วยซ้ำ "โอะ....เฮ้....คุณใหวรึเปล่าครับ?" หัวใจของผมตอนนี้เต้นรัวราวกับนาฬิกาปลุก....พูดได้เลยว่ามันเป็นแบบนั้น ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่การเปรียบเทียบก็เถอะ...แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หัวใจผมมันเต้นราวกับจะระเบิด ราวกับมันจะหลุดออกมาจากอก ราวกับจะบอกว่าอันตรายกำลังคืบคลานมา เหมือนนาฬิกาปลุกที่ไม่ยอมดับ "....ใช่แล้ว...ต้อง...ต้องเรียกรถพยาบาล!!!" แขนขาถูกตัดไปแบบนี้ปริมาณเลือดที่เสียไปย่อมไม่ใช่น้อยๆแน่... ผมควรจะคิดแบบนั้นแต่ในเวลานี้ผมกลับมัวแต่คิดถึงโทรศัพท์มือถือที่ผมพึ่งยัดลงกระเป๋าไป.... มือของผมสั่นระรัว...แค่กดเบอร์ให้ถูกยังแทบไม่ได้ ...แล้วเบอร์ที่เรียกรถพยาบาลมันเบอร์อะไรล่ะวะเนี่ย 117? 115? ชิบหองเอ๊ย!!!! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้เม็มเบอร์ลงในสมุดโทรศัพท์ซะก็ดีหรอก "...รถพยาบาลรึ...ของแบบนั้นเราไม่ต้องการหรอก" 『เธอ』 ทั้งๆที่อยู่ในสภาพที่แขนขาถูกตัดขาด...สติของเธอกลับยังไม่หลุดลอย และยังคงใว้ซึ่งเจตน์จำนงค์อันแรงกล้า....เจตน์จำนงค์ที่ผูดกับผมด้วยคำพูดที่ว่า..... "ดังที่กล่าวไป.....มอบเลือดของเจ้าให้กับเรา" ".............." มือที่กดอยู่บนโทรศัพท์ของผมหยุดกึก... จู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องที่ฮาเนคาว่าพูดใว้ตอนกลางวันได้.... ข่าวลือในหมู่พวกผู้หญิง อะไรกันนะ? เธอว่ายังใงบ้างนะ? ยามราตรี... อย่าได้ออกไปข้างนอกตามลำพัง................. "....เรือนผมสีทอง" ผมสีทอง ผมสีทองจะ........ ภายใต้แสงไฟ.....ผมสีทองจะทอประกายลานตา .....และ.... ไม่มีเงา ภายในรัศมีนี้ไฟทุกดวงดับทั้งหมด..มีเพียงแค่ดวงที่『เธอ』อยู่ข้างใต้เท่านั้น...ดูราวกับ『เธอ』กำลังอาบแสงไฟอยู่เลยทีเดียว เรือนผมสีทองของเธอส่องประกายภายใต้ไฟนี้...ช่างระยิบระยับ...แต่ทว่า 『เธอ』ไม่มี"เงา" ไม่ใช่ว่าผมมองไม่เห็นเงา.... แต่สิ่งที่เรียกได้ว่าเงานั้นน่ะ...มันไม่มี "นามของเราคือ..." จู่ๆ『เธอ』ก็พูดขึ้นมา "นามของเราคือคิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด.......แวมไพร์เลือดเย็นผู้หลงใหลในโลหิตและคมดาบ" ชุดที่เปรอะเปื้อน แขนขาทั้งสี่ที่ถูกสะบั้น ไม่จำเป็นต้องรักษา ยามเมื่อเธอเผยอริมฝีปาก.....คุณจะมองเห็นเขี้ยวคู่หนึ่ง... เขี้ยว...........ที่แหลมคม "เลือดของเจ้าจักกลายมาเป็นเนื้อหนังของเรา.......มอบเลือดของเจ้าให้กับเรา" "............นั่นเหรอคำพูดของแวมไพร์" ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ "พวกคุณน่ะ.......พวกคุณน่ะเป็นอมตะไม่ใช่รึใง?" "เราสูญเสียเลือดในร่างมากเกินไป....เราไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองหรือกลายสภาพ ได้อีกแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป.............เราจะดับสูญ" "...................." "มนุษย์เอย...แม้จะไม่พึงใจแต่จงรู้สึกเป็นเกียรติเถิดที่จะกลายมาเป็นเลือดเนื้อของเรา" ขาผมสั่นไม่ยอมหยุด นี่มันอะไรกัน? ผมจะเป็นยังใงถ้าผมโดนดูดเลือด? แล้ว....แล้วทำไมจู่ๆแวมไพร์ถึงมาปรากฏตัวต่อหน้าผม....แถมยังโผล่ออกมาในสภาพที่ใกล้จะตาย? แวมไพร์ที่ไม่ควรจะมีอยู่กลับมีตัวตน แวมไพร์ที่เป็มอมตะกำลังจะตาย มันหมายความว่ายังใงกัน....นี่มันเรื่องจริงงั้นเรอะ? "นะ.....นี่" เธอมองมาที่ผมที่กำลังสั่นและพูดอะไรไม่ออก......คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่การขมวดเพราะความเจ็บปวดแน่ๆ.... ทำไม『เธอ』ถึงถูกตัดแขนและขาไปล่ะ? "ฉะนั้น..................เพราะฉะนั้น....ช่วยเรา....แม้ที่นี่ เราไม่อาจจะจัดสถานสดุดีแก่เจ้าได้มากนักแต่ขอเพียงเจ้าค้อมหัวลงมาหาเรา เท่านั้น แล้วเราจะจัดการทุกสิ่งเอง" "..............เลือด.....เลือด.....ไม่มากพอที่จะกลายสภาพสินะ?" ผมถามออกไปแบบนั้นหลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงไปบ้างแล้ว ....มันอะไรกันวะเนี่ย!!! ไอ้นี่มันเรื่องตลกอะไร!!! 『เธอ』....คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด ดูเหมือนว่ากำลังจะคิดในสิ่งเดียวกัน....ดังนั้นจึงเธอจึงยังไม่ตอบอะไร ไม่สิ.... บางทีเธออาจจะไม่เหลือแรงมากพอที่จะพูดตอบแล้วก็ได้ "อ่า...เอ่อ......ต้องใช้มากขนาดใหนล่ะ?" มันเป็นคำถามที่เจาะจงขึ้น....ซึ่งมันก็ทำให้『เธอ』ตอบมา ".........ขั้นต่ำที่สุด...เราต้องการปริมาณเท่ากับคนหนึ่งคนอย่างเร่งด่วน" "เข้าใจล่ะ...แค่คนเดียวสินะ.................เฮ้ย!!!" งั้นผมก็ตายพอดีสินั่น!!! แต่จะให้ผมกลับคำพูดคงไม่ได้ เธอคนนี้กำลังมองมาที่ผม.... ดวงตาที่เย็นชา นั่นคือ...................ดวงตาที่มองของสิ่งหนึ่งเป็นเพียงอาหาร ไม่ใช่การล้อเล่น.................ดวงตานั้นบ่งบอกว่าที่สิ่งพูดทุกคำคือความจริง และไม่ลังเลเลยที่จะกลืนกิน...................แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นมนุษย์ก็ตาม เธอคนนี้กำลังจะตาย แต่....หลังจากที่เธอกินผม....เธอจะยืดชีวิตต่อไปได้ ผมไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ให้เธอกินผมก็พอ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความสามารถอะไรทั้งนั้น.... ".................." เอ่อ...เฮ้ย ผมพูดอะไรออกไป? ผมคิดอะไรอยู่? ทำไม....ทำไมผมต้องมาคิดหาเหตุผลในการช่วยยัยนี่ขนาดนี้ฟะ? บ้าไปแล้วรึใง? แวมไพร์งั้นเรอะ? มันก็คือสัตว์ประหลาดดีๆนี่เองไม่ใช่รึใง ผมไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเขนขาของเธอถูกตัดขาด....แล้วทำไมถึงกำลังจะตาย .......................แต่อย่างหนึ่งที่คิดออก มันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แล้วถ้าโดนดูดเลือด คนที่จะเป็นอันตรายมันก็น่าจะเป็นผมไม่ใช่เรอะ? ถึงจะบอกว่าถ้าไม่เสี่ยงดูก็ไม่รู้? แต่นี่มันไม่ใช่มนุษย์.............นี่คือสัตว์ประหลาด คือสิ่งที่อยู่เหนือความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ฮาเนคาว่าพูดใว้แบบนั้นแน่ๆ "เลือด........มอบเลือดให้แก่เรา....เร็ว....เร็วเข้าสิ ใยเจ้าจึงยังดึงดันโยกโย้เช่นนี้เล่าเจ้าคนเขลา" "................." นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม แวมไพร์ตนนั้นพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปรกติ ผมก้าวถอยหลังมาเล็กน้อย ไม่เป็นไร.... ผมหนีได้....ผมควรจะหนีไปซะตอนนี้เลย ข้างหน้าผมตอนนี้คือแวมไพร์....คือสัตว์ประหลาด ด้วยสภาพที่แขนถูกตัดขาถูกเฉือนแบบนี้....ผมหนีพ้นแน่ๆ....ต้องเป็นแบบนั้นเพราะเธอไม่มีทางที่จะตามผมมาได้อย่างแน่นอน ที่ผมต้องทำก็แค่วิ่ง ผมไม่สามารถปกปิดมันได้อีกแล้ว.... นี่คือความจริงที่ผมไม่อาจจะปฏิเสธได้ ตอนนั้นเอง ผมใช้ขาอีกข้างก้าวถอยหลังอีกหนึ่งก้าว "เจ้า....เจ้าลวงหลอกเราใช่ใหม?" ดวงตาของเธอ............ช่างดูอ่อนแรง ราวกับกำลังจะปิดลง.......ราวกับกำลังจะหลับไปตลอดกาล "ช่วย.....ช่วยเราได้รึไม่?" ".............." ชุดที่ขาดวิ่น แขนและขาที่ขาดหาย สัตว์ประหลาดผู้ไร้เงาใต้เงาไฟจากแสงสว่างจอมปลอม เรือนผมสีทอง....ที่ส่องประกายอย่างงดงามเกินที่ผมจะนึกได้ งดงามเกินพรรณนา จากความรู้สึกก้นบึ้งของหัวใจ....ผมอยากให้เธอดูดเลือด ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเธอผู้นี้ได้เลย ผมไม่สามารถถอนเท้าออกไปได้ ไม่ใช่ความกลัวหรือว่าผมตัวสั่นจนไม่สามารถทำอะไรได้.... แต่ผมไม่สามารถขยับได้ต่างหาก "....มะ............ไม่" ทันทีที่คำพูดนั้นออกไปจากปากผม....ราวกับเจตน์จำนงค์ของเธอล่มสลาย ดวงตาสีทองที่เปล่งประกายเช่นเดียวกับสีผมของเธอนั้นก็มีหยาดน้ำใหลลงมา.... ราวกับเด็กน้อย เธอผู้นั้นเริ่มร้องให้ "ไม่....ไม่....ไม่นะ.....เรายังไม่อยากตาย...เราไม่อยากตาย...ไม่อยาก ตาย....ไม่อยากตาย! ช่วย....ช่วยเราด้วย...ช่วยเราที...ได้โปรด...เราขอร้อง...ได้โปรดเถอะ หากว่าเจ้ายอมช่วยเรา เราพร้อมจะตอบแทนด้วยทุกสิ่ง!!!" เธอร้องให้ราวกับทรมานเหลือแสน ผมไม่อยู่ในสายตาเธออีกต่อไป หยาดน้ำใหลริน...เธอส่งเสียงครวญ ราวกับจะขาดใจ "ไม่ตายหรอก เธอไม่ตาย อย่าหายไป อย่าหายไปนะ! ไม่นะ! โธ่ว้อย ใครก็ได้ มีใครได้ยินรึเปล่า ใครก็ได้ ใคร....................................." คนที่อยากจะช่วยแวมไพร์ มันจะไปมีได้ยังใงกัน ไม่ว่าจะพูดยังใง ไม่ว่าจะกรีดร้องขนาดใหน.....ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจผมได้ เพราะว่า....ผมจะต้องตาย เลือดจำนวนเท่ากับคนหนึ่งคน...มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป จะให้รับไอ้เรื่องแบบนี้น่ะ.......ไม่ใหวหรอก ขีดจำกัดของมนุษย์ที่จะแบกรับเรื่องราวต่างๆน่ะมันมีไม่มากนัก สิ่งลึกลับเพียงหนึ่งก็หนักเกินจะรับใหวแล้ว แล้วยิ่งการจะแบกรับเรื่องราวของแวมไพร์ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่มนุษย์จะแบกรับมัน.... "อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา" น้ำตาที่ใหลอาบแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด ไม่รู้เลย.... ผมไม่รู้เลยว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว.... ความตายของแวมไพร์ น้ำตาเลือด... "ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ............." จากเสียงกรีดร้องที่จางลง..........คำพูดที่ออกมากลับกลายเป็นคำขอโทษ เธอขอโทษอะไร? ใครกันที่เธอขอโทษ? ไม่มี.....ผมไม่เห็นอะไรเลย เธอในตอนนี้....ราวกับว่ากำลังขออภัยในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ อาจจะ... อาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่เธอเคยทำใว้ เธอ.....ที่กำลังจะตาย "อุ......อว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!" ถึงตอนนี้ ผมออกวิ่งๆทั้งๆที่กรีดร้อง แม้ขามันจะไม่ยอมรับคำสั่งแต่ผมก็ฝืนวิ่งออกมา..........ทิ้งเธอใว้เบื้องหลัง ผมวิ่งออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมยังคงได้ยินเสียงเธอร้องขอโทษไล่หลังมา เสียงนี้....มีแค่ผมเท่านั้นรึใงที่ได้ยิน? คนที่ได้ยินเสียงนี้....ไม่มีสักคนเลยรึใงที่จะออกมาที่นี่? คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด ผมควรช่วยเธอรึเปล่า? ..........................ไม่มีทาง ผมจะตาย แล้วเธอก็คือสัตว์ประหลาด เธอคือแวมไพร์ ไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเธอเลย....ใช่มั๊ย? ".......รู้แล้วน่า....ไอ้เรื่องแบบนั้นน่ะ" ผมรู้... ผมวิ่งมาพักหนึ่งก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าถังขยะจากนั้นก็จับถุงที่ผมถือมาด้วยสองมือ ในถุงนั้นมีหนังสือโป๊อยู่สองเล่ม.... คนส่วนใหญ่มักจะทิ้งขยะกันในตอนเช้านอกจากวันอาทิตย์เพราะวันนั้นรถขยะจะมาเก็บ ผมเลือกหยุดอยู่หน้าถังขยะที่ยังมีปริมาณน้อยอยู่ ถ้าชะตานำพาบางทีอาจจะมีนักเรียน ม.ปลายมาเก็บมันไป แน่นอนว่าบางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น....แต่ไม่ว่ายังใงตอนนี้ผมก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว ผมกำลังจะตายเดี๋ยวนี้แล้ว...ดังนั้นไอ้หนังสือโป๊นี่มันก็ไม่มีความหมายแล้วว๊อย.....บ้าเอ๊ย ถ้าคุณจะซื้อหนังสือโป๊คราวหลังล่ะก็หัดนึกถึงเหตุการณ์นี้บ้างละกัน.......ไม่งั้นคงได้เสียใจภายหลังแน่ๆ ความภูมิใจในฐานะมนุษย์ของผมตอนนี้มันตกต่ำติดดินไปแล้ว "...................." วิ่งกลับไป.....กลับไปที่ข้างใต้ไฟต้นนั้น.....ดวงตาของผม....น้ำตามันเริ่มใหลลงมา พ่อครับ....แม่ครับ..... น้องสาวทั้งสองคน สำหรับคนที่ไม่ยอมคบหาใครอย่างผม แค่เพียงนึกถึงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคนคนเหล่านี้....ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมร้องให้ แม้ว่าครอบครัวผมสมาชิกทุกคนจะไม่ค่อยกลมเกลียวกันมากนัก โดยเฉพาะการที่นักเรียนจนๆแบบผมดันไปเข้าโรงเรียนเอกชนแบบนั้น....ระยะห่างระหว่างผมกับพ่อแม่ก็มากขึ้น ไม่อยากรบกวนแต่ก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ พวกท่านเองก็คงคิดแบบเดียวกัน มันก็แค่....ระยะห่างระหว่างวัย เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ถ้าเกิดว่าผมเข้าใจอะไรสักนิด....ถ้าหากรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ผมอยากจะพูดกับพวกท่านให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าแอบย่องออกจากบ้านมากลางดึกโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลย อา.....ถึงผมจะทิ้งหนังสือสองเล่มนี้ไปแล้วแต่บางที พวกน้องสาวของผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับผมในระหว่างที่ซื้อ หนังสือโป๊... แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกนั้นก็ไม่มีวันเล่าเรื่องน่าอายแบบนี้ให้ใครฟังแน่ๆ รักพวกเธอทุกคนเลยจริงๆ.....มายซิสเตอร์ "......................." น้ำตายังคงใหลริน ลองนึกดูดีๆ....มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่คนไม่มี เพื่อนอย่างผมเคยเข้าไปช่วย...แถมยังเป็นการช่วยเหลือที่ผมผละออกไปก่อนที่ จะช่วยจนเสร็จอีกต่างหาก แล้วถ้าคิดในมุมกลับ....บางทีผมคงไม่เหมาะที่จะมีมิตรภาพทั่วๆไป....เพราะงั้นตัวเลือกแบบนี้อาจจะเข้ากับนิสัยของผมก็ได้ เมื่อกลับมาถึง.....ใต้เสาไฟ แวมไพร์ผู้มีเรือนผมสีทองยังคงอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้ร้องให้อยู่.... เธอไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลย เธอแค่.....ผล็อยหลับไป ...ยอมแพ้ตอนนี้ก็ยังทันสินะ... "อย่าพึ่งถอดใจตอนนี้เซ่...บ้าเอ๊ย" ผมพูดแบบนั้นก่อนจะพยุงร่างเธอมาอยู่ต่อหน้า......จากนั้นก็ค้อมหัวให้เธอ "จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....ฝากด้วยก็แล้วกัน" "........เอ๋?" เธอ......ค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองมาที่ผมราวกับว่าแปลกใจเกินจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด "ดะ......ได้งั้นรึ?" "ก็เออเซ่ ยัยเบื๊อกเอ๊ย...." บ้าเอ๊ย บัดซบ เวรเอ๊ย............. ทำไม? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้กัน? "ทะ.....ทำไม? ทำไมผมถึงเข้าใจทุกอย่างเลยว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากช่วยให้เธออยู่ต่อไปกันเล่า" ผมพูดออกไปแบบนั้น ผมพูดออกไปตามความรู้สึกในหัวใจผม "ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่...ก็ไม่มีหน้าจะไปสู้กับใครเขา ต่อให้ตายไป คนอย่างผมก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรเลยกับโลกใบนี้!!!" ช่างอัปลักษณ์ ช่างน่ารังเกียจ ชีวิตของผมมันเป็นแบบนั้น เพื่อจะให้เธอผู้งดงามผู้นี้ยังคงมีชีวิตต่อไป ผมควรจะตายสินะ นี่คือข้อสรุป ผมมันก็แค่มนุษย์เดินดิน แวมไพร์น่ะเหนือกว่าลิบลับเลยนี่..............ใช่มั๊ยล่ะ ".........ถ้าเกิดใหม่ล่ะก็...ผมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ จะต้องมีมิตรภาพที่มนุษย์ควรมี จะไม่รู้สึกผิดกับเรื่องงี่เง่า ทุกสิ่งที่ผมเกลียดจะไม่ใช่ความผิดของใคร ผมอยากจะเกิดใหม่มาเป็นคนแบบนั้น......เพราะงั้น..." ตามที่ว่าไป สุดท้ายนี้ พูดด้วยตัวเองสิ.....อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นทิฐิมานะอย่างเดียวที่สิ่งมีชีวิตอย่างผมจะมีได้ "ชั้นจะช่วยเธอเอง......ดูดเลือดชั้นสิ!" "............." "ทุกอย่างมันเป็นของเธอแล้ว หยดเดียวก็อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่าล่ะ..........กลืนกินไปให้หมด" "........อา" คิสช็อท - อาเซโรร่าโอริออน - ฮาร์ทอันเดอร์เบลด.....บางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้แต่ในตอนนี้ผมมีความรู้สึก ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอกำลังกล่าวขอบคุณต่อบางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง "ขอบคุณมาก........." ฉับพลันนั้นความรู้สึกเจ็บก็เกิดขึ้นที่ต้นตอของผม.......เธอกำลังกัดผมอยู่สินะ... สติของผมเริ่มที่จะเลือนลาง....ค่อยๆจางหาย ตอนนั้นเองจู่ๆผมก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ ฮาเนคาว่า สึบาสะ เรื่องราวของเธอ.... การจะหาใครซักคนที่เรียกว่าเพื่อนจากคนนับล้านโดยการเดาสุ่มน่ะ....มันไม่มีเวลาพอหรอก มันน้อยมาก... ถึงผมจะจำอะไรไม่ค่อยได้นักแต่ผมเชื่อว่าเวลาของผมมันมากพอ................แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ ต่อให้เวลาผมน้อยจริงๆ แต่การที่ตายโดยที่ครั้งหนึ่งเคยได้พูดคุยกับฮาเนคาว่าแล้วเนี่ย.......................มันก็ไม่เลวหรอก เอ่อ....บอกใว้ก่อนเลยว่าตอนนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผมเห็นกางเกงในของฮาเนคาว่าหรอกนะ หลังจากที่ผมคิดแบบนั้น ผมรู้สึกราวกับบรรยากาศรอบข้างค่อยๆมืดลง.... วาระสุดทายนี้ขอผมตายแบบเท่ห์ๆหน่อยเถอะนะ เพราะฉะนั้น...ผม...อารารากิ โคโยมิ ชีวิตสั้นๆในวัย 17 ปี ที่ยอมรับความตายด้วยตัวของตัวเอง....อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยคิดว่ามันเป็นแบบนั้นด้วยเถอะ เรื่องเล่าอันโหดร้าย... โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 3 END

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น