Kizumonogatari Novel ตอน 5 แปลไทย END

 เอพิโสด กิโยตินคัตเตอร์ นั่นคือชื่อของผู้ที่เอาแขนขาคิสช็อตไป...ประมาณนั้น อย่างน้อย คิสช็อตก็ได้ยินวีรกรรมของทั้งสามคนนี้มาอีกที แต่ยังไงซะมันก็ยังยากที่จะทำความเข้าใจ ฟังแล้วเหมือนต่างชาติ...ผมรู้สึกมึนกับชื่อของพวกนั้นจริงๆ แต่ก็พอจับใจความได้คร่าวๆ ดราม่าเทอร์กี้...เอาขาขวาของเธอไป เอพิโสด...เอาขาซ้ายของเธอไป กิโยตินคัตเตอร์...เอาแขนทั้งสองข้างไป แต่ละคนเอาชิ้นส่วนของเธอไปคนละอย่าง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในสภาพใกล้ตายแบบนั้น...สภาพที่ หากไม่ดื่มเลือดผมล่ะก็ เธอต้องตายแน่ แม้จะเป็นร่างกายที่อมตะ แต่มันก็ตายได้... ในจุดนี้คนที่เข้าใจดีที่สุดคงเป็นตัวเธอเอง ความตายของเธอในตอนนั้นมันช่างแน่นอน...ใช้สภาพร่างกายแบบนั้น หนีจากคนพวกนั้น ผมว่ามันไม่ง่ายเลย “ทำไม...” ในระหว่างที่ผมกำลังฟังเธออธิบาย...ก็เผลอหลุดคำถามออกไป “ทำไมต้องขโมยแขนขาของเธอไปด้วยล่ะ...” “ตัวเราคือแวมไพร์ สามคนนั้นเป็นมนุษย์...อืม แต่ตัวเจ้าก็ไม่ใช่แล้วซะด้วย ยังไงก็เถอะ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าปิศาจไงล่ะ” คิสช็อตพูด...ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “กำจัดปิศาจคือสิ่งที่เที่ยงธรรม” “...” “สามคนนั้นคือมืออาชีพในการล่าแวมไพร์...เลี้ยงชีพตนเองด้วยการฆ่าเรา ด้วยชื่อเสียงแบบนั้น...เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างสินะ” คงเคย...งั้นเหรอ แวมไพร์ที่พึ่งจะเป็นแวมไพร์ได้สามวันอย่างผมเนี่ยนะ... ลองคิดๆดูแล้วจะว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้...แต่จะว่าเคย ก็เคยได้ยินนะ “งั้น...พวกเราต้องเอาชนะทั้งสามคนนั้นสินะ” “เจ้านี่ไร้สมองเสียจริง...นั่นเท่ากับวิ่งไปหาที่ตายเลยไม่ใช่รึ แม้ว่าการโดนตัดแขนขามันช่างทรมานใจก็เถอะ ตัวเราในตอนนี้มีพลังฟื้นฟูไม่มาก...ในสถานการณ์แบบนี้ จะให้เราสู้ได้ยังไง” “ก็แบบนั้นแหละ...อย่างที่เราบอก...” คิสช็อตพูดต่อไปราวกับเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา “ก็แค่ให้เจ้าปะทะกับพวกนั้น...แล้วเอาชิ้นส่วนของเราคืนมา” “ห๊ะ....?” เงียบ....พูดไม่ออก...ตามไม่ทัน “แล้ว...มันง่ายอย่างนั้นเลย?” “ฮึ่ม...ดูเหมือนว่าเราจะอธิบายอะไรต่อมิอะไรให้เจ้า ยังไม่กระจ่างนะ...ถ้าเจ้าอยากกลับเป็นมนุษย์ก็ต้องอาศัยพลังของเราในร่าง ที่สมบูรณ์...เพื่อการนั้น แขนขาของเราจึงเป็นสิ่งจำเป็นไงล่ะ” “แต่...แต่เรื่องต่อสู้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความถนัดของผมนี่...” ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้โกหก...แต่ทำไมฟังดูเหมือนผมกำลังหาข้อแก้ตัวยังไงไม่รู้ “ด้านกีฬาของผมน่ะไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะ แต่มันก็ไม่ได้ดีมาก...ส่วนเรื่องสภาพร่างกาย ก็อย่างที่เธอเห็นอยู่ เรื่องชกต่อยน่ะไม่เคยเลย...แล้วก็ถ้าซี้ซั้วขึ้นมา ผมก็จะโดนเก็บซะเองน่ะสิ” เจอกับนักล่าแวมไพร์...ผมเองตอนนี้ก็เป็นแวมไพร์อยู่นะ ความเป็นไปได้นี่สูงสุดๆเลย เพราะคู่ต่อสู้ของผมเป็นคนที่ชำนาญการล่าแวมไพร์...ยิ่งไปกว่านั้น ถึงพวกเขาจะไม่ฆ่าผมเพราะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่การเอาชิ้นส่วนของคิสช็อตคืนนี่ฝันไปได้เลย “เจ้าบ้า...นั่นเฉพาะตอนที่เจ้าเป็นมนุษย์ต่างหาก” ท่าทางเธอจะเริ่มเหนื่อยใจกับผมแล้ว “เจ้าคือข้ารับใช้แห่งเรา...แม้ว่าจะอยู่ในสถานภาพที่อ่อนแอที่สุด แต่เจ้าในตอนนี้ก็สามารถฆ่าเราได้” “...? งั้นหมายความว่า...ถึงเธอจะเป็นแวมไพร์แต่ความจริงแล้วเธอกระจอกมากเลยสินะ” “ไม่!!!” ทำเธอโกรธซะแล้ว เป็นคนที่ยั่วโมโหง่ายยิ่งนัก “เจ้าคิดแบบนั้นก็เพราะสิ่งที่เราพูดไปเมื่อกี้สินะ...เราจะเปลี่ยนความเข้าใจของเจ้าซะใหม่...ในบรรดาแวมไพร์ เราคือผู้ที่แกร่งที่สุด จนเรียกได้ว่าเราคือ Kaii Killer เลยล่ะ” “Kaii Killer...” (ไคอิ คิลเลอร์) มันคืออะไรน่ะ Kaii ปิศาจ...อสูรกายงั้นเหรอ ช่างมันเถอะ... “อืม...ถึงตอนนี้เธอจะไม่แข็งแกร่งเท่าผมก็เถอะ...ถึงเธอจะแกร่งกว่า แต่สามคนนั่นก็เอาแขนขาของเธอไปได้แม้จะอยู่ในร่างสมบูรณ์เหรอ? งั้นก็หมายความว่า...” “เราโดนซุ่มโจมตีต่างหาก...เราประมาทพวกนั้นเกินไป...ประเมิณมันต่ำไป...ความจริงแล้วต่อให้ทั้งสามคนรวมพลังกันก็สู้เราไม่ได้หรอกนะ” “หา?” “โดยพื้นฐานแล้ว...” คิสช็อตพูด...ด้วยความยโส “ตราบใดที่เป็นหนึ่งต่อหนึ่งล่ะก็...สามคนนั้นสู้เจ้าไม่ได้หรอก มันเป็นงานง่ายนะ การที่เจ้าจะกลับเป็นมนุษย์มันง่ายจริงๆ” แน่นอน...ผมไม่โดนหลอกด้วยคำพูดลอยๆแบบนี้หรอก ด้วยเหตุนี้...ผมเลยลองเดินรอบๆเมืองตอนกลางคืนดู ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย...ในที่สุดผมก็ได้ออกจากโรงเรียนร้างนี่ซะแล้วก็ได้รู้ที่อยู่ของตัวเอง โรงเรียนร้างแห่งนี้ตั้งอยู่ขอบชานเมืองที่ผมอาศัย อยู่...ก็อย่างที่ว่ามา...ในสถานที่แบบนี้มีรงเรียนสอนเสริมพิเศษที่ถูกทิ้ง ร้างไว้แบบนี้...ผมไม่เคยรู้มาก่อน คงโดนอิทธิพลของโรงเรียนพิเศษแถวๆหน้าสถานีเลยต้องเจ๊งล่ะมั้ง จากนั้นผมก็กดโทรศัพท์ต่อสายถึงที่บ้าน...โชคดีที่คน รับคือน้องสาวคนโตของผม...ตอนนี้พี่ชายกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางในวันหยุด ฤดูใบไม้ผลิเพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงอยู่นะ ช่วยบอกทุกคนด้วยล่ะ...ผมพูดกับเธอแบบนั้น น้องสาวผมตกลงซะด้วย... แต่...ด้วยประการฉะนี้ เลยทำให้น้องสาวคิดว่า ผมเป็นพี่ชายที่อยู่ๆก็ออกเดินทางค้นหาตัวเองแบบไม่ดูเวล่ำเวลา... ผมนี่ช่างไร้ประโยชน์ซะจริงๆ หลังจากนั้น น้องสาวคนเล็กก็ส่งข้อความมาหาผม น้องสาวมัธยมต้นที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ...ดังนั้นพวกเธอคงใช้คอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่นส่งข้อความหาผม “ถึง พี่ชาย...บางครั้งคนเราก็หลงทางได้...แต่เมื่อพี่จิตใจสงบลงแล้วก็คิดให้ดีๆนะ...ว่า ทิลทิล กับ มิททิล หานกสีฟ้าเจอจากไหนน่ะ” *** Maeterlinck's Blue Bird: Tyltyl and Mytyl's Adventurous Journey เป็นอนิเมกำกับโดย ฮิโรชิ ซาซากาว่า ฉายเมื่อปี 1980 โดยใช้พื้นเรื่องคือ ละคร ของ มอร์ริส มีเทอร์ลิงก์ (Maurice Maeterlinck) *** ........ ผมโดนน้องสั่งสอน... ได้รับข้อความแบบนี้...แถมยังเปลืองแบตโทรศัพท์ฟรีๆอีกต่างหาก...ชักฉุนแล้วแฮะ แต่ จะว่าไปแล้ว ผมจะชาร์จแบตมือถอจากที่ไหนล่ะเนี่ย...ที่ชาร์จอยู่บ้านซะด้วย...งั้นคงต้องซื้อที่ร้านสะดวกซื้อแล้วล่ะ เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะใช้ไปฟ้าจากตึกร้างนั่น...งั้นคงต้องซื้อแบตเตอรี่เลยสินะ งั้นถ้าหากว่าทุกอย่างสามารถจบลงก่อนที่ แบตผมจะหมด ผมก็สามารถข้ามปัญหานี้ไปได้ เผลอตัวหนีความจริงอีกแล้วแฮะ “พวกนั้นไม่ใช่คู่มือของเราหรอก...แล้วก็สู้เจ้าไม่ได้ด้วย...” เอ่อ...มันง่ายแบบนั้นเลยเหรอ ? ถึงแม้ตอนแรกผมจะเชื่อครึ่งนึงก็เถอะ...แต่พลังในฐานะแวมไพร์ของผมเป็นของจริง...แต่ถ้าจะพิสูจน์มันล่ะก็ ผมคงโดนจับเข้าคุกในข้อหาทำลายของสาธารณะแหงๆเลย แต่ก็นะ...ยังไงก็เป็นตึกร้าง สักตูมสองตูมคงไม่เป็นไรมั้ง ประมาณนั้น... “แต่ยังมีบางเรื่อง...ที่ยังคาใจอยู่แฮะ” จากคำพูดของคิสช็อต “งั้น...สามคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ เธอรู้หรือเปล่า” “ไม่รู้” “เฮ้ย...ไม่รู้...?” “ความวิตกที่เกินกว่าเหตุนั้นไม่จำเป็นเลย...แค่เดินรอบๆเมืองดู ศัตรูก็จะมาหาเจ้าเอง...ฝั่งนั้นเป็นถึงนักล่าแวมไพร์นะ แค่หาแวมไพร์ตัวเดียว มันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ” “งั้นเหรอ...” “อืม...จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ที่นี่ก็ตามใจเจ้า แต่ตอนกลางคืนที่พลังของแวมไพร์ขึ้นสูงสุด จงออกไปข้างนอกซะ...ก็เหมือนแมลงที่บินเข้าหากองไฟนั่นแหละ พวกนั้นจะต้องมาหาเจ้าแน่นอน” “.....” แมลงบินเข้ากองไฟ...แมลงนั่นคือสามคนนั้นใช่ไหม...ไม่ใช่ผมนะ “ในตอนนี้...พวกนั้นคงตามหาเราแบบพลิกเมืองเลยล่ะ...ถ้าดวงดีล่ะก็ คืนนี้คงได้เจอ” หึ หึ หึ หึ คิสช็อตหัวเราะชนิดคุมไม่อยู่...ส่งเสียงแปลกๆออกมาด้วยแฮะ ก็นะ...การที่ไม่ต้องไปตามหาพวกนั้นช่วยได้มากโขทีเดียว แต่..ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเองไม่ได้ให้ความสนใจกับความลงตัวทั้งหมด(Rhythm) เท่าไหร่นัก ผมควรจะถามเรื่องพวกนี้บ้างบางครั้งใช่ไหม ? เรื่องความจริงที่ว่าผมเป็นแวมไพร์ เรื่องที่ว่าผมสามารถกลับเป็นมนุษย์ได้ ผมมั่นใจได้มั้ยว่าคิสช็อตไม่ได้โกหกผมอยู่ หลอกใช้ผมให้เอาชิ้นส่วนของเธอกลับมา...ไม่ได้มองผมเป็นอาหาร แต่มองผมเหมือน เบี้ย ตัวหนึ่ง แต่สำหรับเรื่องนั้น...คิสช็อตบอกผมตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่คำสั่ง...แต่เป็นคำขู่ ...เพื่อที่ให้ผมไม่คิดว่า –มันคือการเสียเวลา- ใช้การกลับเป็นมนุษย์มาหลอกผม โดยใช้เหยื่อล่อ...เธอโกหกผม มีความเป็นไปได้ที่คิสช็อตจะคิดแบบนั้น “......” ไม่... ทำให้ผมกลายเป็นข้ารับใช้ เธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้ แค่คำสั่งก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ? ....อืม.... ไม่... ในตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ฟลังแวมไพร์ได้...เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หลอกผม เธอก็ทำให้ผมเชื่อฟังไม่ได้ อืม มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ภายนอกเธอดูเหมือนเด็กสิบขวบ แต่ผมจะคิดว่าเธอเป็นเด็กไม่ได้ นึกภาพตอนที่พบเธอในร่างโต เธอดูฉลาดทีเดียว อย่างน้อยถ้าเป็นตามที่ได้ยิน เธอก็อยู่มา 500 ปีแล้ว ความคิดของเธอไม่ได้ช้ากว่าผมแน่นอน แล้วก็... ผมยังไม่ได้รู้เรื่องที่เป็นกุญแจหลักเลย ผมคิดถึงแต่การกลับเป็นมนุษย์ จนลืมเรื่องสำคัญไป...ผมลืมถามคิสช็อต ว่าเหตุใดกันที่เธอมาอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้ ปิศาจน่ะมักจะตลกๆแบบนี้แหละ แต่เธอเป็นแวมไพร์ของโลกตะวันตกไม่ใช่เหรอ... แล้วสามคนนั่นก็ถูกคิสช็อตพามาเหมือนกัน “อืม...” ไม่ว่าผมจะพูดยังไง...ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี ไม่ว่าคิสช็อตจะวางแผนอย่างไรไว้...ผมก็ยังเชื่อเธอไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมต้องทำตามที่เธอสั่งไปก่อน...เธอยังมีอำนาจคุมเกมมากกว่าผมอยู่ เริ่มจากเอาแขนขาของเธอกลับมา...ผมจะทิ้งทุกอย่างเอาไว้ก่อน ไม่ว่าผมจะผิดแค่ไหนก็ตาม...เรื่องของนักล่าแวมไพร์สามคนนั้นยังไงก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน ตามที่คิสช็อตบอก...ผมยอมทำตัวเป็นเหยื่อล่อ...เดินไปที่ทางสามแยก ในตอนนั้นแหละ... ทำให้ผมรู้ว่า... แวมไพร์ผู้มีชื่อ คิสช็อต อาเซโรล่าโอไรออน ฮาร์ทอันเดอร์เบลด ถึงแม้จะอยู่มา 500 ปีแล้ว แต่ความคิดของเธอยังตื้นอยู่นัก ตราบใดที่สู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง สามคนนั้นไม่มีทางชนะผมงั้นเหรอ...ถึงเธอจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...แล้วสมมติฐานนั่น เอาหลักฐานไหนมาพิสูจน์ล่ะ แล้วเธอก็โดน สามคนนั้นปราบด้วยไม่ใช่เหรอ? ด้วยความรู้สึก...สมองผมคงพังไปแล้วล่ะ แต่...มันสายไปเสียแล้ว หนึ่งวินาทีก่อนสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...คือช่วงเวลาที่ผมพึ่งจะนึกของพวกนั้นได้ ทำให้ดีล่ะ แล้วทุกอย่างจะจบภายในคืนนี้...คือสิ่งที่คิสช็อตบอกผม แต่ลองคิดๆดูแล้ว...ความเป็นไปได้ที่ชีวิตผมจะจบภายในคืนนี้นั้นมีสูงกว่า การตายครั้งที่สองของผม ด้วยฝีมือของนักล่าสามคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้... “จะ...จะทำยังไงดีฟะเนี่ย...” ผมจะเริ่มจากทางขวาก่อนก็แล้วกัน ยักษ์ใหญ่ที่ตัวสูงกว่า 2 เมตร มือทั้งสองข้างถือดาบคดเคี้ยวขนาดใหญ่...กำลังเดินตรงมาทางนี้ ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต กางเกงยีนส์นั่นน่าจะมาใช้เป็นถุงนอนของผมได้เลย เสื้อเชิ้ตนั่นถ้าแผ่ออกมาล่ะก็ประมาณ 5 เท่าของเสื้อผมล่ะมั้ง บนหัวยุ่งๆนั่นก็ใส่ที่คาดผมไว้อันหนึ่ง ผู้ที่มีร่างกายเหมือนก้อนกล้ามเนื้อ ใบหน้าจริงจังและริมฝีปากปิดสนิท กำลังถือดาบใหญ่ 2 อัน จ้องมาที่ผม ตามที่ผมได้รับรู้มา...ชายคนนี้คือ ดราม่าเทอร์กี้ ผู้ที่ขโมยขาขวาของคิสช็อตไป “ฮึ่มมม.....” แล้ว...ที่ด้านซ้ายของผม แตกต่างกับดราม่าเทอร์กี้โดยสิ้นเชิง...ชายที่รูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าที่ดูซื่อๆแต่สายตาที่จ้องมาที่ผมนั้นคมกริบ ถ้าผมอุปมาว่า “สายตาสามารถฆ่าคนได้” ล่ะก็ ... ผมคงตายทันทีที่โดนสายตาคู่นี้จ้อง... ดวงตาเหลือกขึ้นเล็กน้อยมองเห็นตาขาวด้านล่าง ชุดนักเรียนสีขาว เมื่อมองดูแล้ว อายุท่าจะน้อย แต่เหนืออื่นใดคือไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่แบกอยู่บนบ่า...มันช่างขัดกับภาพพจน์ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ขนาดมันใหญ่เท่าร่างของคนทั่วไปประมาณ 3 เท่า...น้ำหนักก็เช่นกัน...ไม้กางเขนแบบนี้มันท้าทายพระเจ้าชัดๆ มันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไว้บูชาแน่นอน...มันดูเหมือนอาวุธซะมากกว่า ชายผู้ที่มีสายตาจ้องผมจนทะลุกับรอยยิ้มบางๆ และไหล่ที่แบกไม้กางเขน... ตามที่รู้มา...เขาคือ เอพิโสด คนที่ขโมยขาซ้ายของคิสช็อต “...แล้ว...จะยังไงดีล่ะทีนี้” ข้างหลังผม... ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...ที่ชายสวมผ้าคลุมคล้ายนักบวช เมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้ว คนนี้ดูจะซื่อกว่ามาก ด้วยทรงผมที่ดูเหมือนขนเม่น...ทำให้บรรยากาศตึงเครียดน้อยลง ผมไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ในดวงตาคู่นั้นที่ไม่รู้ว่าปิดหรือเปิดอยู่ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าดาบคู่ยักษ์หรือไม้กางเขนนั่น ชายคนนี้ไม่ถืออาวุธ... แต่อย่างไรก็ตาม เขาคือผู้ที่เอาชิ้นส่วนของคิสช็อตไปมากที่สุด ชายที่เหมือนนักบวช...ใบหน้าที่ไม่บ่งบอกความอันตราย...ในมือไม่มีอาวุธ...กำลังเดินเข้าหาผมด้วยท่าทีสบายๆ ชายผู้นี้คือ...กิโยตินคัตเตอร์ เอาแขนทั้งสองข้างของคิสช็อตไป...ซ้าย และ ขวา “บางทีฉันอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ...” ผู้ชำนาญในการล่าแวมไพร์ ดราม่าเทอร์กี้...เอพิโสด...กิโยตินคัตเตอร์ ทั้งสามคนนั้น...ล้อมผมไว้ ไม่มีทางหนี...เหมือนหนูในกรง “อ๋า...นาย...” คนที่เปิดปากก่อนคือชายที่แบกไม้กางเขนไว้บนบ่า...เอพิโสด น้ำเสียงเหมือนกับรูปลักษณ์...ยุ่งเหยิง “ไม่ใช่ฮาร์ทอันเดิร์เบลดนี่น่า...แล้วใครกันล่ะ” “■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■■ ■■■■■■” ดราม่าเทอร์กี้มองข้ามหัวผมที่อยู่ตรงกลาง เพื่อตอบเอพิโสด แต่ผมไม่เข้าใจคำพูดของเขาสักนิด นี่พวกเขาเมินผมเหรอ... “ไม่...ไม่ดีเลย ดราม่าเทอร์กี้” นักบวชข้างหลังผม...กิโยตินคัตเตอร์ พูดขัดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวล “ถ้านายกำลังทำภารกิจอยู่ที่นี่...นายก็ต้องใช้ภาษาของที่นี่สิ” “.....” แน่นอน ผมอยากหันกลับไปมองคนพูด แต่นั่นหมายความว่าผมจะต้องหันหลังให้ เอพิโสด กับ ดราม่าเทอร์กี้ กิโยตินคัตเตอร์...เหมือนอีกสองคน เขาไม่สนใจผมและพูดต่อไป “แต่ก็ตามที่นายบอกนั่นแหละดราม่าเทอร์กี้...บางที...ไม่สิ ต้องใช่แน่นอน...เด็กหนุ่มคนนี้คือผู้ติดตามของ ฮาร์ทอันเดอร์เบลด” “จริงเหรอ” เอพิโสดพูดขึ้น...ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “เจ้าแวมไพร์นั่นถือคติไม่สร้างทาสรับใช้นี่นา” “ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินว่าเธอก็มี 1 คนนะ” ““■■■…… บางทีอาจเป็นเพราะเราไล่ต้อนเธอจนไม่มีหนทางอื่นแล้วยังไงล่ะ” ครั้งนี้ดราม่าเทอร์กี้ พูดด้วยภาษาญี่ปุ่น เพราะร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทำให้ผมคิดว่าเขาอาจเป็นพวกที่ใช้แต่กำลัง...แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย “แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ” เอพิโสด ยิ้มบางๆแล้วพูดขึ้น เขาขยับกางเขนบนใหล่เล็กน้อย “ปกปิดพลังที่มี...ต้องตามหา ฮาร์ทอันเดอร์เบลดอย่างด่วนที่สุด...สิ่งที่เราจะทำได้คือถามเจ้าหนุ่มนี่” “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” หลังจากฟังสิ่งที่เอพิโสดพูด ดราม่าเทอร์กี้พยักหน้า...กิโยตินคัตเตอร์ก็เช่นกัน “ถ้าฉันจัดการเด็กหนุ่มคนนี้ได้ ฉันคงได้รางวัลเป็นที่อยู่ของฮาร์ทอันเดอร์เบลด” บางทีพวกเขาอาจไว้ชีวิตผมที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อนล่ะมั้ง ? อย่างน้อยผมก็ต้องมองด้านบวกซะมั่ง คนเหล่านี้...ตั้งแต่แรก ทำกับผมเหมือนผมไม่ใช่คู่มือ เมินผม ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าผมเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ ตัวตนของผม...ดูไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกนั้น “เอ...” กิโยตินคัตเตอร์พูดขึ้น “ตามที่เอพิโสดพูด...ถ้าเด็กคนนี้รู้ที่อยู่ของฮาร์ทอันเดอร์เบลดล่ะก็...มันก็มีปัญหานิดหน่อยนะ” “เชื่อมือฉันเถอะน่ะ..” เอพิโสดพูด พร้อมกับหัวเราะ “ฆ่ามันแบบไม่ให้เหลืออะไรที่จะส่งผลกระทบกับเราเลยไงล่ะ” “ไม่...ข้าจะจัดการเอง” ดราม่าเทอร์กี้พูด “ให้ข้าทำ...เพราะข้าเป็นคนที่เข้าใจตัวตนของแวมไพร์มากที่สุด” “ฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ...ถ้าจะให้ฉันทำน่ะ” กิโยตินคัตเตอร์บอกอีกสองคน “พวกนายสองคนคงจะเหนื่อยแล้ว...” “อย่า...อย่าซี้ซั้วพูดกันแบบนี้เซ่!!!!!” รวบรวมความกล้า...ผมคำรามออกไป ไม่ได้มองหน้าใคร... ไม่สบตากับใคร... ผมตะโกน “พวกนายพูดอะไรกันน่ะ...พวกนาย อยู่ดีๆก็พูดเรื่องที่จะฆ่าผม...ผมเป็นมนุษย์นะ...” “...” “......” “.....” อย่างน้อยมันก็สร้างความเงียบได้ทันที คำพูดผมจะส่งถึงพวกเขาไหมนะ... แต่ก็เพียงแค่นั้น... สิ่งที่ส่งถึงมีเพียงเสียง...แต่ความหายนั้นไม่เลย ไม่มีใคร...จอบผมเลยสักคน “งั้น ก็เอาแบบเดิมละกัน” ทันใดนั้น...ดราม่าเทอร์กี้ก็พูดขึ้น “ได้เลย...ใครเร็วใครได้สินะ” ตามด้วย เอพิโสด “ดี...ยุติธรรมดี...จะได้พิสูจน์ฝีมือเลย” ปิดท้ายด้วย กิโยตินคัตเตอร์ หลังจากนั้น...นักล่าแวมไพร์ทั้งสาม เกือบจะช่วงเวลาเดียวกัน...ผมเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสามทางที่พุ่งเข้าหาผม...นี่สินะ สายตาของแวมไพร์ มองเห็นในที่มืด...และการจับภาพที่แสนพิเศษ...แต่ ถึงผมจะมองเห็นก็เถอะ...ผมจะทำยังไงดีล่ะ “อะ...อ้าาาา” การเคลื่อนไหวของผม...บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่โง่ที่สุดในสถานการณ์แบบนี้ บังหัวด้วยมือสองข้าง ก้มตัวลงเหมือนลูกบอล ขดตัวลงอยู่กับที่... ยอมแพ้ที่จะต่อสู้...แต่มันไม่ได้เรียกว่าป้องกัน...มันก็เป็นแค่การหลีกหนีความเป็นจริง ผมไม่ได้ล้อเล่น... นี่คือนิสัยที่ไม่ว่าจะเป็นตัวละครของ การ์ตูน หนัง หรือ เกม ไหนก็ไม่ควรจะมี แค่นักเรียนมัธยมปลายธรรมดา จะสู้กับนักล่าแวมไพร์สามคนได้ยังไงกัน... นี่มันอะไรกัน ? สามพลังป่วนพิทั**โลก เหรอ ? ผมจะไปชนะได้ยังไง... ถ้าผมทำลายกำแพงคอนกรีตได้...แล้วไงล่ะ... ถ้าผมกระโดดสูงขึ้น หรือเคลื่อนไหวเร็วขึ้นได้...แล้วไงล่ะ... ผมจะใช้พลังพวกนั้นทำอะไรได้บ้าง... ผมไม่เคยต่อสู้...ไม่เคยชกต่อยด้วย อะไรกัน... จะตายอีกแล้วเหรอเนี่ย ชีวิตนี้ที่มอบให้คิสช็อต... ไม่!!!!! “..........................” ........... .......... .......... แต่...ไม่ว่าผมจะรอนานแค่ไหน...การโจมตีของทั้งสามคนนั้นก็ไม่ถึงตัวผม หรือเป็นเพราะพวกนั้นกลัว... หรือบางทีเพราะผมมันไร้ค่าเกินไป...พวกเขาเลยกลับไปแล้ว...ไม่ เป็นไปไม่ได้ ผมเงยหน้าที่ซุกอยู่กับหัวเข่าขึ้นมา แล้ว.... “....ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะที่ดูสบายๆ “กลางที่อยู่อาศัยแบบนี้...ตวัดดาบ...แกว่งไม้กางเขน...ส่งสียงเอะอะ...พวกนายนี่คึกคักกันจังเลยน้าาา....” ดราม่าเทอร์กี้ กระชับดาบในมือทั้งสองข้าง... เอพิโสดพิงกางเขนไว้กับขาขวา... กิโยตินคัตเตอร์สะบัดมือซ้ายขึ้นโจมตีอย่างฉับไว...แต่มันถูกหยุดไว้ ก่อนที่จะแตะถูกตัวเป้าหมาย ใครกันน่ะ... ตาลุงคนนึงที่เดินผ่านมา ยืนด้วยท่าสบายๆ...พร้อมพูดขึ้นว่า... “นี่...มีอะไรดีๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ?” เรื่องเล่าอันโหดร้าย... โคโยมิแวมไพร์ บทที่ 5 END

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น